แม้ "สวนทิวลิปนนท์" จะได้ปิดให้เข้าชมไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่คุณผู้อ่านหลายคนคงยังไม่ลืมความสวยงามของดอกไม้นานาพันธุ์ที่ถูกนำมาปลูกอยู่ภายในสวน จึงทำให้ able ฉบับนี้ต้องขอนำดอกไม้สวยๆ อีก 2 ชนิดมาเก็บตกกันค่ะ
ไฮยาซินธ์ (Hyacinth)
เป็นพืชพันธุ์ไม้ดอกที่ใช้หัวในการขยายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนกลางและทางตอนใต้ของประเทศตุรกี ไฮยาซินธ์เป็นไม้หัวขนาดเล็ก เมื่อเติบโตเต็มที่ ต้นจะสูงประมาณ 30 ซม. ออกดอกในช่วงฤดูหนาว ลักษณะช่อเป็นทรงกระบอกที่มีตั้งแต่ 2 - 40 ดอก โดยจะเริ่มบานจากด้านล่างไล่ไปจนถึงปลายช่อ ดอกมีกลิ่นหอมและมีอยู่หลากหลายสีด้วยกัน ทั้งสีขาว ชมพู บานเย็น แดง ม่วง ฯลฯ โดยเมื่อไฮยาซินธ์ออกดอกจนหมดแล้ว ช่อดอกก็จะเริ่มเหี่ยว ให้ตัดออกและปลูกต่อไปจนใบเริ่มเหลือง เหี่ยว จึงตัดทิ้งและเก็บหัวไว้ จนเมื่อถึงฤดูกาลที่เหมาะแก่การเจริญเติบโต ไฮยาซินธ์ก็จะแทงช่อดอกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ซึ่งในระยะนี้ คือ ระยะการพักตัวของไม้หัวชนิดนี้
การปลูก หากเริ่มปลูกตั้งแต่ยังเป็นหัว ในระยะแรกให้เริ่มปลูกในที่มืดก่อน เพราะจะทำให้ช่อดอกที่แทงออกมายืด ยาว สวย แต่หลังจากแตกใบและเริ่มแทงช่อดอกแล้ว ก็สามารถนำออกมาปลูกในที่ที่มีแสงแดดรำไรถึงแดดจัดได้ และให้รดน้ำวันละครั้ง ส่วนดินที่ใช้ปลูก ควรเป็นดินที่ชุ่มชื้นและระบายน้ำได้ดี
ไซคลาเมน (Cyclamen)
ไซคลาเมน (Cyclamen) เป็นต้นไม้ในวงศ์พริมโรส (Family Primulaceae) โดยจัดอยู่ในสกุล Cyclamen ถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งทวีปแอฟริกา จัดเป็นไม้ัหัวที่มีดอกและใบดกมาก สามารถอยู่ได้หลายปี ลักษณะเด่นของดอกไซคลาเมน คือ กลีบดอกจะกระดกกลับขึ้นไปด้านบน เมื่อบานจะมีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ และดอกจะบานอยู่ค่อนข้างนาน สีของดอกส่วนมากจะอยู่ในโทนสีชมพู แดง บานเย็น ม่วงหรือขาว สำหรับไซคลาเมนที่นำมาปลูกเป็นไม้กระถางนั้นเป็นพันธุ์ Cyclamen persicum ซึ่งเป็นไซคลาเมนพันธุ์ที่เลี้ยงง่าย ทนทานและให้ดอกดก
การดูแล ไซคลาเมนเป็นไม้หัวที่ไม่ค่อยชอบน้ำมาก จึงควรรดเพียงแค่วันละครั้ง หรือให้สังเกตจากดินเมื่อแห้งจึงค่อยรด ระวังอย่าให้ดินชื้นแฉะเพราะจะทำให้หัวของต้นเน่าได้ และเวลารดน้ำควรรดให้ลงดินหรือเครื่องปลูกไปเลย ไม่ควรรดน้ำลงดอกหรือใบ ปลูกไว้ในที่แสงแดดรำไรประมาณ 50 - 60% ส่วนวัสดุที่ใช้ปลูกควรจะโปร่งร่วนและระบายน้ำได้ดี ไซคลาเมนเป็นไม้ที่ชอบอากาศเย็น ออกดอกในช่วงฤดูหนาว แต่หากอากาศไม่เย็นพอก็มีโอกาสที่ไซคลาเมนจะไม่ออกดอกได้
ถึงแม้จะเป็นไม้เมืองหนาว ที่ดูไม่เหมาะกับการนำมาปลูกในสภาพอากาศที่ร้อนของกรุงเทพฯ สักเท่าไร แต่หากผู้เลี้ยงดูแลให้อยู่ในสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิที่เหมาะสม รวมถึงได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี ต้นไม้เหล่านี้ก็สามารถเจริญงอกงามและออกดอกสวยๆ มาให้เราชื่นชมได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สวนทิวลิปนนท์, www.geocities.com/knowledgeplant, www.school.net.th/library, www.kaset32farm.com
ดอกไม้เมืองหนาวในเมืองไทย
แย้มกลีบ "ดอกไม้นอก"
หากใครที่ยังคงติดใจในความสวยงามของไม้เมืองหนาว ในฉบับนี้เราก็ยังมีมาฝากกันอีกค่ะ โดยเป็นชนิดที่ไม่ต้องใช้พื้นที่ในการปลูกมากนัก แถมเมื่อออกดอกแล้วเรายังตัดมาประดับบ้าน ช่วยเพิ่มความสวยงามได้อีกต่างหาก
ลิลลี่
ไม้ดอกประเภทหัวที่มีชื่อทางวิชาการว่า Lilium hybrids มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศจีนและทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ลิลลี่เป็นได้ทั้งไม้ตัดดอกและไม้กระถาง เป็นดอกไม้ที่มีหลากหลายสีสัน ทั้งสีขาว ชมพู เหลือง ส้ม แดง แต่ชนิดที่ได้นิยมปลูกกัน คือ
- Easter Lily หรือ ลิลลี่ปากแตร เป็นชนิดที่มีดอกสีขาวและมีกลิ่นหอม
- Asiatic hybrids กลุ่มลูกผสมเอเชียติกที่มีดอกหลากสีแต่ไม่มีกลิ่นหอม
- Oriental hybrids กลุ่มลูกผสมออเรียลเทิล เป็นชนิดที่มีกลิ่นหอมแต่ราคาแพง
การดูแล ควรปลูกในดินที่มีการระบายน้ำและอากาศดี มีอินทรีย์วัตถุสูง อุณหภูมิที่เหมาะสมของการเจริญเติบโตในช่วงแรกอยู่ที่ประมาณ 12 - 15 องศาเซลเซียส หลังจากนั้นในช่วงระหว่างการเจริญเติบโตจะต้องรักษาอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 22 - 25 องศาเซลเซียสในช่วงกลางวัน และ 14 - 16 องศาเซลเซียสในช่วงกลางคืน และควรรดน้ำวันละครั้งในช่วงเช้า และพยายามให้ดินมีความชื้นอยู่เสมอ
บีโกเนีย
บีโกเนียเป็นไม้อวบน้ำอายุยืน อยู่ในวงศ์ BEGONIACEAE (BEGONIA FAMILY) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียและอเมริกา บีโกเนียเป็นต้นไม้ที่มีขนาดเล็ก เหมาะสำหรับปลูกเป็นพืชคลุมดิน ไม้กระถางหรือไม้แขวนก็ได้ ปัจจุบันบีโกเนียมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ บางชนิดสามารถทนร้อนได้ บางชนิดต้องการอากาศเย็น อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งมีทั้งชนิดดอกสวยงามและใบสวยงาม แต่ที่นิยมปลูกกันมาก คือ พันธุ์ที่ให้ดอกสวยงาม เช่น
- สายพันธุ์ Tuberous Begonias หรือบีโกเนียพันธุ์หัว ลักษณะดอกมีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน มีหลากสี ทั้งสีแดง ส้ม เหลือง ชมพู ฯลฯ เป็นพันธุ์ที่ต้องการอากาศหนาวและจะพักตัวในหน้าร้อน
- สายพันธุ์ Fibrous Begonias หรือ Waxed Begonia บีโกเนียชนิดนี้ลำต้นเอนนอน ใบเป็นมัน ดอกสวยสีสด นิยมปลูกเป็นไม้พืชคลุมดินเพื่อเพิ่มความสวยงาม สามารถทนแดดได้ดี
- สายพันธุ์ Angel Wing หรือที่บ้านเราเรียก ทับทิมสยาม ลักษณะรูปใบคล้ายปีกนางฟ้า ช่อดอกใหญ่และให้ดอกดก มีสีหลากหลาย เช่น สีส้ม แดง ชมพู ขาว และใบมักมีจุดขาวเด่น
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สวนทิวลิปนนท์, www.neofarmthailand.com, http://us.geocities.com/flowerthai/flower/content, www.doae.go.th
แต่งต้นไม้ให้ผนังบ้าน
ฉบับนี้ขอมาว่ากันต่อด้วยเรื่องเทคนิคการตกแต่งสวนกันอีกฉบับนะคะ เพราะยังมีเทคนิคดีๆ อีกหนึ่งวิธีที่อยากจะบอกต่อแก่คุณผู้อ่าน ให้ได้นำไปใช้กันค่ะ
แผงไม้เลื้อยนี้ทำจากเหล็กเส้น ที่นำมาเชื่อมยึดเข้าด้วยกันจนได้เป็นตัวโครงเหล็ก (ขนาดขึ้นอยู่กับพื้นที่และความต้องการของแต่ละบ้านค่ะ) จากนั้นก็ปล่อยให้ต้นไม้ที่นำมาปลูกเลื้อยไปตามโครงเหล็กได้เต็มที่เลยค่ะ
แต่ในระหว่างที่รอให้ต้นไม้เลื้อยให้เต็มโครงเหล็กนั้น ก็สามารถหาต้นไม้อื่นมาช่วยประดับ เพื่อปกปิดพื้นปูนบริเวณด้านหลังไปก่อนได้ค่ะ ดังในภาพเราก็จะใช้ต้นเคราฤๅษี (ราคาพวงละ 300 บาท ใช้ประมาณ 40 พวง) และใช้ต้นสับปะรดสี (ราคากระถางละ 600 บาท ใช้จำนวน 6 กระถาง) มาตกแต่งเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้ดูโล่งและเรียบจนเกินไป
เทคนิคนี้ช่วยตกแต่งบริเวณผนังที่ว่างเปล่า ให้กลับดูมีสีสัน ไม่โล่งตาเหมือนอย่างเคยค่ะ
ตกแต่งสวนสวยด้วยวิธีง่ายๆ
ฉบับนี้มีเทคนิคการตกแต่งสวนแบบง่ายๆ มาแนะนำกันค่ะ เชื่อได้ว่าคุณผู้หญิงทั้งหลายก็สามารถนำไปทำเองได้แน่นอน
เริ่มกันที่วิธีการแรกเลยนะคะ หากพื้นที่ในสวนของคุณตรงไหนยังโล่งอยู่ เรามีของตกแต่งสวยๆ มาช่วยจัดวางไม่ให้โล่งค่ะ
สิ่งที่เราต้องเตรีียม
- ต้นอากาเว่ปากนกแก้ว ราคาต้นละ 700 บาท หรือต้นไม้ชนิดอื่นตามความชื่นชอบของผู้ปลูก
- ต้นสลิปลิส ต้นละ 100 บาท จำนวน 8 ต้น (จำนวนต้นอาจมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของกระถาง) ใช้ประดับรอบๆ กระถางเพื่อเพิ่มความสวยงาม และช่วยเพิ่มลายเส้นสาย
- กระถางปูนดิบ ใบละ 650 บาท หรืออาจจะเป็นกระถางในรูปทรงอื่นที่เข้ากับสไตล์สวนของคุณ
- แท่นรองกระถาง (ทำมาจากกระถางปูนดิบทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส นำมาคว่ำทำเป็นแท่น) ใบละ 650 บาท หรืออาจจะเป็นวัสดุอื่นก็ได้ แต่ต้่องมีความแข็งแรงพอสมควร
มากันที่อีกวิธีนะคะ หลายๆ บ้านอาจจะกำลังมีต้นไม้ที่เพิ่งนำมาปลูกใหม่ หรือต้นไม้ที่ยังมีสภาพที่ไม่แข็งแรงจึงต้องอาศัยวิธีการค้ำยันช่วย และการค้ำยันนี่เองก็อาจจะทำให้สวนของคุณไม่น่าดู เพราะมีท่อนไม้อะไรก็ไม่รู้มาตั้งเกะกะอยู่รอบๆ ต้นไม้ วันนี้เราก็เลยมีรูปแบบการพันเชือก ที่จะทำให้ไม้ค้ำยันของคุณไม่ดูธรรมดาอีกต่อไป
อุปกรณ์ที่ใช้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ ใช้เพียงแค่เชือกมะนิลาเบอร์ใหญ่สุดประมาณ 10 กิโลกรัม (ปริมาณเชือกที่ใช้ขึ้นอยู่กันขนาดของต้นไม้ด้วยนะคะ) ราคาเชือกก็ตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 40 บาท ส่วนไม้ค้ำยันนั้นมักจะใช้ไม้ยูคาลิปตัสกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าไม่มีจะใช้เป็นไม้อะไรก็ได้ แต่ขนาดไม่ควรจะใหญ่มากนัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของต้นไม้ที่ค้ำด้วย
การพันเชือกแบบนี้นอกจากจะเป็นการช่วยเพิ่มลูกเล่นให้กับสวนแล้ว ยังเป็นการช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับบริเวณรอบๆ ต้นไม้ที่ถูกค้ำยันอีกด้วย
ชมทิวลิปได้ไม่ต้องไปไกลถึงต่างแดน
ต่อไปนี้ หากใครต้องการสัมผัสกับความสวยงามของดอกทิวลิป คงไม่ต้องไปไกลถึง
เนเธอร์เเลนด์ หรือเดินทางขึ้นภาคเหนือ เพื่อชมดอกทิวลิปอย่างใกล้ชิด เพราะ ตอนนี้เราสามารถไปชมดอกทิวลิปกันได้แล้วที่ "สวนทิวลิปนนท์" อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ สักเท่าไหร่ ซึ่งที่นี่มีดอกทิวลิปให้เราเลือกชมถึง 15 สายพันธุ์ด้วยกัน โดยทาง บริษัท U&V Inter-trade ได้ทำการนำเข้าสายพันธุ์จากประเทศเนเธอร์แลนด์จำนวน 100,000 หัว ในปี 2551 เพื่อนำมาทดลองปลูกในเรือนเพาะชำ
หลาย คนมักเข้าใจว่า ทิวลิปเป็นดอกไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในฮอนแลนด์ แต่จริงๆ แล้ว ทิวลิปเป็นดอกไม้ที่มีการค้นพบในแถบประเทศเปอร์เซียและตุรกี ดังเช่น ทิวลิปา กิสนีเรียนา(Tulipa gesneriana) ซึ่งเป็นทิวลิปสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ตั้งแต่สมัยกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงปัจจุบัน ก็มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศตุรกี ซึ่งทิวลิปนั้นถูกนำเข้าสู่ยุโรปครั้งแรกโดย
"บุสเบค" ราชทูตอาณาจักรโรมันในราชสำนักตุรกีในช่วงปี ค.ศ.1572 และถูกนำมาสู่ฮอลแลนด์ในราวปี
ค.ศ.1593
คำว่า "ทิวลิป" หรือ "Tulip" นี้มีที่มาจากชื่อที่เรียกผ้าโพกศีรษะของชาวสลาฟ (ชนชาวรัสเซียน, บัลกาเรียน, โบฮีเมียน และชาวโพ ล) เพราะด้วยรูปร่างของดอกทิวลิปที่มีลักษณะคล้ายกับรูปทรงของผ้าโพกศีรษะของ ชาวสลาฟ ซึ่งชาวสลาฟเรียกผ้าโพกศีรษะนี้ว่า Tulbend และในภาษาเปอร์เซีย เรียกว่า "ลาเล่ห์"
ทิวลิปเป็นไม้ประเภทไม้หัว เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ออกดอกในฤดูใบไม้ผลิ ดอกของทิวลิปมีหลายรูปแบบ และหลายขนาดขึ้นอยู่กับสายพันธุ์แต่ละชนิด อีกทั้งยังให้ดอกที่หลากสี อาทิ สีแดง ชมพู เหลือง ส้ม ม่วง ขาว ฯลฯ ซึ่งในแต่ละสีที่กล่าวมาก็ยังสามารถแบ่งออกเป็นเฉดสีในโทนต่างๆ ได้อีกมากมาย
การดูแล
ทิวลิป เป็นไม้ที่เจริญเติบโนได้ที่อุณหภูมิ 5 - 25 องศาเซลเซีส ให้น้ำเพียงวันละครั้งในช่วงเช้าหรือเย็นก็ได้ โดยให้สังเกตจากดินเป็นหลัก เมื่อดินแห้งจึงค่อยให้น้ำ และสิ่งที่ควรระวังคือ เรื่องของความชื้น เพราะหากมีความชื้นมากเกินไปก็จะทำให้ทิวลิปเกิดโรคเชื้อราได้ แต่ด้วยสภาพอากาศและอุณหภูมิในบ้านเรา ซึ่งดูเหมือนจะไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของทิวลิป และคงเป็นเรื่องยากหากต้องการนำไปปลูกเองในสภาพอากาศที่ไม่ได้มีการควบคุม ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงมักนิยมที่จะนำทิวลิปมาเป็นไม้ตั้งประดับเพื่อความสวย งามมากกว่า
สัมผัสกับความงามของทิวลิปได้ไม่ต้องไปไกล ที่ สวนทิวลิปนนท์ (แจ้งวัฒนะ28)
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-962-0747 / 02-5840878
www.uv-intertrade.com/
ป้ายกำกับ: ต้นไม้และการจัดสวน , able เล่ม14